AI ปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาเปลี่ยนวงการการแพทย์อย่างไร

เปลี่ยนโลกนิยายไซไฟให้กลายเป็นเรื่องจริงด้วยเทคโนโลยี AI ที่จะเข้ามาพลิกโฉมวงการ Healthcare ให้ก้าวล้ำนำหน้ากว่าเดิม แม้ว่าภาพของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ในเมืองไทยนั้นอาจจะไม่ได้เป็นที่กล่าวถึงกันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทคโนโลยี AI นั้นมีความน่าสนใจและน่าจะมีประโยชน์ต่อวงการแพทย์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกระบวนการรักษาดูแลผู้ป่วย หรือเรื่องของการจัดการภายในองค์กร โดยจากการวิจัยใน MDM Policy & Practice พบว่าการบริหารจัดการในเรื่องพื้นฐานอย่างเช่น ระบบ AI ช่วยให้บุคคลากรทางการแพทย์สามารถเข้าถึงบันทึกข้อมูลทางการแพทย์ได้รวดเร็วขึ้น และจากการสำรวจยังพบอีกด้วยว่าแพทย์ส่วนใหญ่ราวๆ 77% รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นตัวช่วยเพิ่มคุณภาพในการทำงาน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหากเลือกใช้ AI ให้เหมาะสมกับโครงสร้างขององค์กร ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระแพทย์และทำให้การทำงานราบรื่นได้มากยิ่งขึ้น
การทำงานของ AI กับบทบาทในโลกอนาคตของวงการ Healthcare
เบื้องต้นควรทำความเข้าใจก่อนว่า AI ไม่ใช่เทคโนโลยีที่ผูกขาดแต่เพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ความเชี่ยวชาญแต่ละสาขาในด้าน การแพทย์และสุขภาพได้มีการศึกษาและแตกแขนงเทคโนโลยี AI ออกเป็นเฉพาะด้าน ซึ่งช่วยให้ศาสตร์แต่ละแขนงถูกพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญและองค์ความรู้ในสาขานั้นๆ มากที่สุด โดย AI ไม่สามารถแทนที่องค์ประกอบที่สำคัญของการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์และการประสานงานต่างๆ ได้ แต่ระบบ AI จะเน้นในการปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานเสียมากกว่า ถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระแพทย์หรือคนทำงานและยังช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานได้มากยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยี AI นั้นก้าวไกลไปมากขึ้นในทุกๆ วัน ดังนั้นลองมาดูกันว่า AI สามารถเปลี่ยนแปลงวงการ การแพทย์และสุขภาพในด้านใดบ้าง
เพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน
แน่นอนว่าอาการเจ็บป่วยมักรอไม่ได้ ดังนั้นการบริการด้านสุขภาพจึงต้องการความรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งจากการสำรวจของ PWC พบว่า AI สามารถช่วยย่นระยะเวลาในการทำงานของกระบวนการต่างๆ ได้ เช่น ในแผนกรังสีวิทยา ระบบ AI จะช่วยในการวิเคราะห์และวินิจฉัยภาพแบบอัตโนมัติ ช่วยในการจำแนกรูปภาพ โดยสามารถดึงข้อมูลจากหลาย ๆ ภาพและเรียงลำดับความสำคัญของข้อมูลในไฟล์ X-ray ได้อย่างเป็นระบบ สิ่งเหล่านี้ทำให้นักรังสีวิทยาสามารถทำงานได้ง่ายและเร็วขึ้น นอกจากนี้ในเทคโนโลยีใหม่ๆ ยังแสดงให้เห็นว่า AI สามารถช่วยตรวจหาเนื้องอกใน MRI และ CTs ได้อีกด้วย
สื่อสารและเข้าถึงผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์ได้ดีมากขึ้น
นับตั้งแต่ต้นปี2020 จนถึงปัจจุบันข่าวใหญ่อย่างการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ก็ยังไม่จางหายไปไหน แต่ที่น่าสนใจก็คือ ในประเทศใหญ่ๆ ที่เริ่มใช้ AI กันอย่างจริงจังนั้น ได้นำเอาวิทยาการของ AI มาปรับปรุงการสื่อสารกับกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้มีการส่งข้อมูลสู่สาธารณะชนอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพในช่วงโครงการฉีดวัคซีน Covid-19 เพื่อป้องกันการติดเชื้อและแพร่เชื้อ โดยในโครงการนี้ ทาง Walgreens เครือข่ายร้านขายยาขนาดใหญ่เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการวัคซีนในสหรัฐอเมริกาที่เลือกใช้ระบบ AI เข้ามาช่วย ดังนั้นการแจ้งข่าวถึงผู้เข้ารับวัคซีนกว่า 50 ล้านคนทางอีเมล์ในระบบของ Walgreens จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก แต่ด้วยการใช้ AI เข้ามาช่วย ก็สามารถเพิ่มสภาพคล่องให้กับการทำงานของ Walgreen ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญระบบ AI นั้นสามารถเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารที่สามารถเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายได้ดีอีกด้วย จนทำให้มีปริมาณผู้อ่านอีเมล์เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติถึง 30% เลยทีเดียว
ช่วยระบุความเสี่ยงของผู้ป่วย
ข้อมูลคนไข้และการจัดการถือเป็นงานที่ท้าทายและหนักเอาการ เนื่องจากโรงพยาบาลส่วนใหญ่มักจะจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยทั้งเก่าและใหม่ในปริมาณที่มากมายมหาศาล หลายครั้งการค้นประวัติผู้ป่วยต้องใช้เวลาและเสียทรัพยากรบุคคล แต่ด้วยการวิเคราะห์จากโซลูชัน AI จะช่วยแบ่งเบาภาระแพทย์โดยให้ทีมแพทย์เรียกดูข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยระบุผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงในการกลับเข้ารับการรักษาอีกครั้งได้ ซึ่งในปัจจุบันผู้ให้บริการด้าน AI กำลังพัฒนาระบบโดยอิงจากข้อมูลในบันทึกสุขภาพและเวชระเบียนของผู้ป่วย เช่น เทคโนโลยี AI ที่พัฒนาขึ้นที่มหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล สามารถค้นหาผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยร้ายแรงอันเป็นผลมาจากการติดเชื้อในกระแสเลือดได้อย่างน่าทึ่ง โดย AI ได้ศึกษาเรียนรู้เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ ข้อมูลประชากร ผลการตรวจเลือด ประวัติทางการแพทย์และการวินิจฉัยของผู้ป่วยประมาณ 8,000 รายที่โรงพยาบาล อิชิลอฟ (Ichilov) ในกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ซึ่งพบว่าคนไข้บางรายมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือด นอกจากนี้ AI ยังสามารถระบุปัจจัยเสี่ยงทางการแพทย์ได้แบบอัตโนมัติด้วยความแม่นยำสูงถึง 82% ซึ่งในอนาคตหาก AI เหล่านี้ถูกพัฒนาจนถึงขั้นนำมาใช้งานได้อย่างเต็มที่แล้ว เชื่อว่าโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนในเมืองไทยจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานและช่วยลดความเสี่ยงให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที
Sources
- 4 ways AI is transforming healthcare
- AI-based technology to identify patients at risk of serious illness as a result of blood infections
- Eight ways in which AI is transforming healthcare
- Factors Affecting Health Care Engagement of Patients With End-Stage Heart Failure: An Exploratory Survey Study
- How AI is Transforming the Future of Healthcare
- Industry Voices—For AI to truly transform healthcare, we have to focus on patients
เรื่องที่คุณอาจจะสนใจ
“เพอเซ็ปทรา” จับมือ “ศิริราช” ร่วมพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เพื่อรังสีวินิจฉัย ยกระดับการแพทย์ไทยสู่เวทีโลก
“เพอเซ็ปทรา” จับมือ “ศิริราช” ร่วมพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เพื่อรังสีวินิจฉัย ยกระดับการแพทย์ไทยสู่เวทีโลก บจก. เพอเซ็ปทรา ขานรับนโยบายระบบการรักษาทางไกล (Tele Medicine) และประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ (Medical hub) ของเอเชีย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
ข้อดีและข้อเสียของ AI ทางการแพทย์
ข้อดีและข้อเสียของ AI ทางการแพทย์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ทางการแพทย์กำลังเข้ามามีบทบาทและช่วยเสริมการทำงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในระบบ Healthcare ได้ในหลากหลายส่วน ซึ่งตอบรับกับความต้องการทางการแพทย์ที่ทันสมัยและมีมากยิ่งขึ้น ดังนั้น AI จึงกลายเป็นสิ่งที่ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพและธุรกิจต่างๆ พยายามเรียนรู้และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แม้ว่า AI
มะเร็งเต้านม รู้ก่อน รักษาหายก่อน
มะเร็งเต้านม รู้ก่อน รักษาหายก่อน แค่พูดชื่อมะเร็งเต้านมสาว ๆ ก็อาจจะเริ่มหวั่นใจและนึกถึงความร้ายแรงของโรคเนื่องจากมะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบได้มากที่สุดในผู้หญิงไทยและก็ยังเป็นมะเร็งที่คร่าชีวิตหญิงสหรัฐเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งปอด แต่ถึงอย่างไรตามความน่ากลัวของมะเร็งเต้านมจะถูกลดลงไปหากเราตรวจพบไวขึ้น การตรวจหามะเร็งเต้านมในปัจจุบันมีหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการตรวจด้วยตนเองทุก ๆ เดือน การตรวจโดยเจ้าหน้าที่ (Clinical Breast